วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เกาะช้าง


เกาะช้าง จ. ตราด

เกาะช้าง ข้อมูลการเดินทาง ที่พัก เกาะช้าง
เกาะช้าง นับว่าแหล่งท่องเที่ยวที่มาแรงมากในตอนนี้ เป็นเพราะว่าเกาะช้างอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีความสวยงาม เดินทางสะดวกสบาย ค่าใช้จ่ายไม่มากนัก เที่ยวได้ทั้งปี และที่สำคัญ เกาะช้าง ยังมีความสมบูรณ์ของธรรมชาติมาก

รู้จักเกาะช้างก่อนไปเกาะช้าง เกาะช้าง เป็นเกาะขนาดใหญ่ มีพื้นที่มากเป็นอันดับสองรองจากเกาะภูเก็ต ส่วนยาวสุดหัวเกาะ-ท้ายเกาะ 30 กิโลเมตร กว้างสุด 14 กิโลเมตร เกาะทั้งเกาะตั้งเป็นอำเภอหนึ่งอำเภอคืออำเภอเกาะช้าง เกาะช้างมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งป่าไม้บนเกาะและแนวปะการัง เพื่อรักษาพื้นที่ไว้ให้ลูกหลานได้ดูกันจึงจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยรวมเอาเกาะพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาอยู่ในความดูแลรวม 40 เกาะ แต่เนื่องจากว่าเกาะต่างๆ เคยเป็นที่พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนมาก่อน พื้นที่บางส่วนจึงถูกกันออกจากพื้นที่อุทยานเพื่อเป็นพื้นที่ของประชาชนที่มีโฉนดถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แทบทุกเกาะ

จะไปเกาะช้างต้องรู้ โซนท่องเที่ยวบนเกาะช้างแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งตะวันออก และ ฝั่งตะวันตก แวบแรกเมื่อเรือขนานยนต์มาถึงท่าเทียบเรือบนฝั่งเกาะช้างก็จะเห็นถนนไป 2 ทิศทาง เกาะช้างเลี้ยวซ้าย และ เกาะช้างเลี้ยวขวา แล้วเราจะไปทางไหน

เกาะช้างเลี้ยวซ้าย หรือ เกาะช้างฝั่งตะวันออก เป็นด้านยังคงความเป็นเกาะช้างที่เต็มไปด้วยสวนผลไม้ สวนมะพร้าว สวนยางพารา ชายทะเลก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าโกงกาง เป็นด้านที่เงียบสงบ แต่เป็นด้านที่ไม่มีชายหาด พื้นที่ชายทะเลส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนที่เต็มไปด้วยป่าแสมและป่าโกงกาง กิจกรรมที่น่าสนใจที่น่าสนใจของด้านนี้คือท่องเที่ยวธรรมชาติ พายเรือแคนนูชมป่าโกงกาง ชมหิงห้อยยามค่ำคืน พายเรือคายัคเที่ยวลัดเลาะตามริมฝั่ง รีสอร์ทด้านนี้ล้วนตั้งอยู่ชายทะเล แต่เป็นชายทะเลที่ไม่มีหาด กิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเลนั้นทำได้ตามปกติ โดยจะมีเรือเร็วรับจากรีสอร์ทพาไปเที่ยวดำน้ำตามเกาะที่สวยงาม เพียงแต่เมื่อพักอยู่ที่รีสอร์ทนั้นอยากจะวิ่งลงทะเลนั้นทำไม่ได้ ฝั่งนี้ที่พักราคาถูกกว่าอีกฝั่งหนึ่ง

เกาะช้างเลี้ยวขวา หรือ เกาะช้างฝั่งตะวันตก เปรียบเทียบเข้าใจง่ายๆ เรียกว่า ฝั่งพัทยาน้อยๆ เป็นฝั่งที่มีชายหาดสวยเรียงตัวไปตามแนวเกาะ ด้านนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ หาดต่างๆ ที่ขึ้นชื่อล้วนอยู่ด้านนี้ทั้งหมด ที่พักมีมากมายตั้งแต่เกรสเฮาท์ราคาถูกๆ บังกะโลราคาประหยัดไปจนถึงรีสอร์ทคืนละหลายหมื่นบาท สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งธนาคาร ร้านอินเตอร์เนต ร้านเซเว่น และอีกสารพัดที่นักท่องเที่ยวต้องการ
ที่มา : www.tourdoi.com/koh/koh_chang.htm

ดอกบัว


บัวหลวง หรือดอกบัวที่ใช้จัดแจกันบูชาพระ มีดอกและใบชูขึ้นเหนือน้ำ ใบสีเขียวนวลค่อนข้างกลม ขอบใบเรียบ ผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ และนวล ดอกมี 4 สี ได้แก่ สีขาว สีแดง สีชมพู และสีเหลือง ติดผลเป็นฝัก การขยายพันธุ์ บัวหลวงมีไหล ชอนไชไปตามหน้าดิน ต้นใหญ่จะเกิดมาจากไหลเหล่านั้น ปลูกต้นเดียวถ้าไม่ตายในหนึ่งปีขายออกไปได้เยอะจนกระทั่งเต็มบึง

บัวสาย เป็นบัวที่อยู่ตามหนองบึงที่มีระดับน้ำลึก เป็นบัวที่ชาวบ้านมักนิยมเก็บก้านดอกมาทำอาหาร หรือที่เรียกว่า สายบัว แม้ปัจจุบันนี้ยังนิยมนำมาปรุงอาหารเช่น แกงเลียงสายบัว บัวสายมีใบที่ใหญ่ ขอบใบหยัก มีดอกสีบานเย็น สีขาว และสีชมพู ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน การขยายพันธุ์ บัวสายมีเหง้าอยู่ใต้ดิน เมื่อต้นเก่าโทรมไปเมื่อน้ำแห้ง ครั้นถึงฤดูน้ำท่วมหัวเหล่านั้นก็จะแตกต้นอ่อนขึ้นมาใหม่ และอีกแบบคือการเพาะเมล็ด

บัวผัน บัวเผื่อน เป็นบัวพื้นเมืองที่ขึ้นอยู่ตามทุ่งนา ตามหนองน้ำ และน้ำคูน้ำริมถนนที่พบเห็นได้ทั่วไปเมื่อเดินทางออกไปตามชนบทที่มีน้ำท่วมขัง ดอกบานตอนเช้าและหุบในตอนเย็น ใบรูปไข่จนถึงกลม ดอกมีหลายกลีบ มีกลิ่มหอม การขยายพันธุ์ใช้วีธีการเพาะเมล็ด

บัวลูกผสมกลุ่มบัวผัน บัวผันมีดอกเล็กและมีกลีบดอกน้อย ปัจจุบันได้มีการผสมพันธุ์ผัวบันเกิดเป็นบัวลูกผสมที่กลีบดอกซ้อนสีสันสวยงาม และเป็นที่นิยมปลูกประดับกันทั่วไป บัวประดับที่พบเห็นส่วนใหญ่ล้วนเป็นบัวลูกผสมของกลุ่มบัวผันเกือบทั้งหมด สำหรับชื่อของพันธุ์ลูกผสมนั้นมีชื่อเรียกกันมากมายแล้วแต่ผู้คิดค้นพันธุ์จะตั้งชื่อ ตั้งชื่อตามเจ้าของบ้าง ตั้งชื่อใหม่ตามจินตนาการบ้าง จดจำกันไม่หวัดไม่ไหว ขายยพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด

อีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกในเมืองไทย ได้แก่บัวนอกหรือบัวฝรั่ง มีสีสันสวยงาม มีรูปทรงดอกสวย ใบกลมมันสวย สมัยก่อนมีราคาแพงต้นละ 1000 กว่าบาท ลดลงมาเหลือ 500 บาท 300 บาท จนตอนหลังนี้เหลือกระถางละ 150 บาท ไปจนถึง กระถางละ 50 บาท แต่ไปอาจจะราคา 3 กระถาง 100 , แต่ละชนิดมีสีสวยงามทั้งสีขาว สีแดง สีชมพู สีเหลือง ดอกเหลืองเกสรชมพู สารพัด บัวนอกจะมีลำต้นอยู่ใต้ดิน เจริญเติบโตไปทิศทางข้างหน้าลักษณะเหมือนไหลบัว การขยายพันธุ์เพียงแค่ตัดลำต้นออกเป็นท่อนๆ แล้ววางไว้ก็จะแตกกอใหญ่ออกมามากมาย ด้วยเหตุที่ขยายพันธุ์ง่ายจึงทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว
ที่มา www.tourdoi.com/flower/water_flower/lotus1/index.html

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โทษน้ำกระท่อม


กระท่อมออกฤทธิ์ประเภทกระตุ้นประสาท

การเสพใบกระท่อมมากๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและเข้มขึ้น

และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ถุงท่อม" ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้

บางรายจะมีอาการโรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง

ถ้าหยุดเสพ จะเกิดอาการเสี้ยนยา ได้แก่

ไม่มีแรง
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูก
แขนขากระตุก
อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้
อารมณ์ซึมเศร้า
นํ้าตาไหล นํ้ามูกไหล
ก้าวร้าว
ผลการศึกษาหลายแห่งสรุปว่า

การใช้ใบกระท่อมในขนาดยาต่ำ ให้ผลกระตุ้นประสาท
ส่วนการใช้ขนาดยาสูง ให้ผลกดประสาท
แม้ใบกระท่อมให้ผลการออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ทำให้เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ หากใช้ติดต่อกันนานๆ
ที่มา www.yorkza.com

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดอกมะลิ


พันธุ์มะลิ
มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย
มะลุลี ลักษณะต้น ใบ อื่น ๆ คล้ายมะลิลา แต่ใบใหญ่กว่าดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก และดอกกลางบานก่อน เช่นกัน แต่มีดอกซ้อน 3-4 ชั้น ปลายกลีบมน
มะลิถอดลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.
มะลิซ้อนลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายมะลิถอด และมะลิลาซ้อน แต่ใบมีลักษณะแคบกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอกเช่นกัน กลีบดอกซ้อน แต่ซ้อนกว่า 5 ชั้น แต่ละชั้นมีกลีบดอก 10 กลีบ ขึ้นไป ขนาดดอก 3-4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอมมาก
มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอก ดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม
มะลิทะเล
มะลิพวง
มะลิเลื้อย
ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B4

กรรณิการ์


เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด
ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ
ชื่อวิทยาศาสตร์: Nyctanthes arbortristis Linn.
ชื่อสามัญ: กรรณิการ์ (อังกฤษ: Night blooming jasmin - มะลิบานราตรี)
ชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ: กณิการ์ กรณิการ์
ประเภท: ไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง
ลักษณะ:
ต้น: สูงประมาณ 3 - 4 เมตร ตามลำต้นจะมีรอยเป็นเส้นคาดรอยต้นเป็นช่วงๆ ไปตามข้อต้น เปลือกของลำต้นนั้นมีสีขาว ลักษณะของลำต้นและกิ่งก้านโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแขนงและกิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม บริเวณแนวสันเหลี่ยมของกิ่งหรือลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ ประเป็นแนวอยู่ด้วย
ใบ: เป็นไม้ใบเดี่ยวแต่ออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น มีรูปมนรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวและมีขนอ่อนๆ เป็นละอองปกคลุมอยู่ทั่วใบ มีลักษณะสากคายมือ
ดอก: ดอกสีขาว ออกเป็นช่อดอกเล็ก ๆ กระจายที่ปลายกิ่ง ประมาณช่อละ 5 - 8 ดอก แต่ละดอกมี 6 กลีบ กลีบดอกจะบิดเวียนไปทางขวาคล้ายกังหัน วงในดอกเป็นสีแสด งดดอกเป็นสีแสด เกสรเป็นเส้นเล็กละเอียดซ้อนอยู่ในหลอดดอก ขนาดของดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.50 - 2 เซนติเมตร หลอดดอกยาว 1.50 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 - 8 แฉก ก้านช่อดอกมีใบประดับเล็กๆ 1 คู่ ดอกของกรรณิการ์มีกลิ่นหอมแรง บานกลางคืน ออกดอกตลอดปี
ผล: เป็นแผ่นแบนๆ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด
การขยายพันธุ์: โดยการตอน หรือปักชำกิ่ง
การดูแล: ขึ้นได้ในดินทั่วไป แต่ต้องการความชุ่มชื้น และปลูกที่กลางแจ้ง
ประโยชน์: ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด ก้านดอกสามารถนำมาทำเป็นสีย้อมผ้าจีวรพระ หรือสีทำขนม
ที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8Cดดอก

ลีลาวดี


ลีลาวดี
ลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้น มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูง
ประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง
12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม
มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่สลัดใบในฤดูแล้ง
ก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่นใหม่ชนิดและพันธุ์
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์ คือการเพิ่มจำนวนหรือปริมาณของพืชที่เราต้องกรรให้มากขึ้น การขายพันธุ์นั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การขยายพันธุ์โดยใช้เพศ ได้แก่ การเพราะเมล็ดหรือสปอร์
2. การขยายพันธุ์โดยไม่ใช้เพศ ได้แก่ การใช้ส่วนต่างๆ ของพืช เช่น การตอน การตัดชำ การทาบกิ่ง การต่อกิ่ง การแยกหน่อ ฯลฯ
ในการขยายพันธุ์ไม้ประดับนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพืชประเภทอื่นเลยแต่ทั้งนี้และทั้งนั้นในการขยายพันธุ์ไม้ประดับก็จะต้องพิจารณาถึงชนิดและประเภท
ของพันธุ์ไม้ด้วย สำหรับวิธีขยายพันธุ์นั้นมีอยู่มากมายหลายชนิดแต่วิธีที่กล่าวถึงต่อไปนี้ ถือเป็นวิธีขยายพันธุ์ที่ง่ายได้ผลดีและได้รับความนิยมกันมาก
ได้ก่ การเพาะเมล็ด การตอน การตัดชำและการแยกหน่อ
ที่มาhttp://www.maipradabonline.com/saramaipradab/kex3.htm

ปลากัด


ปลากัด เป็นปลาพื้นเมืองของไทย พบแพร่กระจายทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย
ลักษณะที่อยู่อาศัย : อาศัยอยู่ในอ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หนองบึง แอ่งน้ำ ลำคลอง
ฯลฯ ในบริเวณที่มีระดับน้ำตื้นๆ น้ำค่อนข้างใส น้ำนิ่งหรือไหลเอื่อยๆ มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นประปราย ชอบว่ายน้ำช้าๆ บริเวณผิวน้ำ
ข้อมูลน่าสนใจด้านล่างคลิก
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลากัด
เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวชอบต่อสู้
เมื่อปลาอายุประมาณ 1.5-2 เดือนการเลี้ยงปลากัด
จึงจำเป็นต้องรับแยกปลากัด เลี้ยงในภาชนะเช่นขวดแบน
เพียงตัวเดียวก่อนที่ปลาจะมีพฤติกรรมต่อสู้กันหากแยก
ปลาช้าเกินไปปลาอาจจะ บอบช้ำไม่แข็งแรง หรือพิการได้ ปลาจะกัดกันเอง ควรจะแยกปลากัดเลี้ยงเดี่ยวๆ
ที่มา http://www.samud.com/bettle_fish.asp

ลิเกป่า


มีผู้กล่าวว่าลิเกป่าได้แบบอย่างมาจากพวกแขก กล่าวคือ คำว่า "ลิเก" มาจากการร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้าของแขกเจ้าเซ็นที่เรียกว่า "ดิเกร์" ซี่งเป็นภาษาเปอร์เซีย เพราะนิกายเจ้าเซ็นนี้มาจากเปอร์เซีย พวกเจ้าเซ็นที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเคยได้รับพระราชูปภัมถ์มากมายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เพราะพวกเจ้าเซ็นมีเสียงไพเราะ ร้องเพลงเป็นที่นิยมฟังกันทั่วไป ต่อมาไม่นานนอกจากพวกเจ้าเซ็นแท้ๆ แล้วก็มีคนไทยหัดร้องเพลงดิเกร์ขึ้น ขั้นแรกก็มีทำนองการใช้ถ้อยคำเหมือนกับเพลงสวด ต่อมาเมื่อคนไทยนำมาร้องก็กลายเป็นแบบไทย และคำว่าดิเกร์ก็เพี้ยนมาเป็นลิเกหรือยี่เก แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากพิจารณาถึงเครื่องดนตรี รำมะนาที่ลิเกป่าใช้ประโคมประกอบการเล่นนั้น ชวนให้เข้าใจว่าการเล่นลิเกป่าน่าจะได้แบบอย่างมาจากมลายู เพราะมลายูมีกลองชนิดหนึ่งเรียกว่า "ระบานา" (Rebana) ซึ่งมีสำเนียงคล้ายกับรำมะนาของไทยเราดังกล่าวแล้ว

ที่มา : http://www.tungsong.com

ผักไฮโดร์โพนิค

การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน หรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน (พืชผักไร้ดิน) นี้เป็นเทคโนโลยีที่เคยมีมาก่อนแล้ว เพราะปัจจุบันกระแสการหันมาใสใจในสุขภาพของคนไทยมีมากขึ้นเป็นลำดับ ผักปลอดสารพิษ ผักกางมุ้ง และผักไฮโดรโปนิกส์ จึงเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างแล้ว สีสันยังดูน่ารับประทาน และรสชาติดีอีกด้วย
ณ วันนี้ ผักไฮโดรโปนิกส์ นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของสุขภาพคนไทยแล้ว การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน ยังจะเป็นหนึ่งในโครงการอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในชุมชนใกล้เคียงของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส) ที่อาจารย์อารักษ์ ธีระอำพน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร ได้วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ลงไปสู่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เทคโนโลยีและการจัดการที่ใช้ปลูกยังจะช่วยบ่มเพาะให้เยาวชนเกิดการเรียนรู้ รวมถึงกระตุ้นความสนใจในวิทยาศาสตร์อีกด้วย
A hydroponics system can assist in growing nearly twice as much—in half the space of a soil garden—with picture-perfect results. Romain Lettuce in Green Machine 20
ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) คือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน โดยหลักการแล้ว มี 2 แบบ คือ
1. การปลูกในน้ำ ซึ่งบริเวณรอบๆ รากของพืชเป็นของเหลว รากจะแตกในออกมาที่ของเหลวนั่นเอง และ
2. การปลูกในวัสดุแข็ง เช่น แกลบ ทราย ขุยมะพร้าว หินภูเขาไฟ ซึ่งเป็นวัสดุปลูกที่ไม่ได้ให้ธาตุอาหารกับพืชแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นวัสดุที่ช่วยค้ำและพยุงรากนั่นเอง
ในอดีต กระแสความนิยมของการปลูกพืชแบบนี้เป็นไปเนื่องเพราะความพยายามของบริษัทนำเข้าอุปกรณ์การปลูกมากกว่าจะเป็นกระแสบริโภคนิยมอย่างแท้จริง ทำให้ผักไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics ซบเซาไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาได้รับความนิยมขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ด้วยคนไทยหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น กระแสการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์จึงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจากผู้บริโภค เกิดตลาดรองรับ และแม้แต่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก็เล็งเห็นความสำคัญของการขยายตัว จึงให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านนี้ ทำให้มีผู้สนใจเข้ามาทำมากขึ้น ก่อให้เกิดรูปแบบ เทคนิค และเทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลายขึ้น กลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคตามมา
พืชที่นิยมปลูกแบบ Hydroponics กว่า 90 % เป็นประเภทพืชผักที่ใช้รับประทานในชีวิตประจำวัน อาทิ ผักสลัดหรือผักกาดหอมต่างประเทศ ในอดีตที่ต้องนำเข้ากิโลกรัมละหลายร้อยบาท แต่ปัจจุบันสามารถลดการนำเข้าได้เกือบ 100 % นอกจากนี้ยังเป็นพืชผักประเภทกลุ่มผักตะวันออก เช่น คะน้า กว้างตุ้ง คะน้าฮ่องกง ผักกาดขาว เป็นต้น ซึ่งปรากฏว่ามีคนสนใจเริ่มมาทำตรงนี้มากขึ้น และมีผลตอบรับค่อนข้างดี พืชผักกลุ่มนี้ก็ตอบสนองต่อระบบนี้ได้ดี ตลาดกว้างขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผักต่างประเทศกลุ่มเดียวเท่านั้น การปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน พืชผักที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น แตงเทศหรือแตงแคนตาลูป ที่ฟาร์มมหาวิทยาลัยกำลังผลิตอยู่ ซึ่งหากปลูกในสภาพแวดล้อมปกติจะต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก มีสารพิษตกค้าง ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค แต่หากปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ รวมทั้งสามารถควบคุมคุณภาพได้ด้วย และแม้แต่พืชผักและพืชสมุนไพร เช่น สะระแหน่ วอเตอร์เครส หญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา ก็สามารถตอบสนองต่อระบบไฮโดรโปนิกส์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหญ้าเทวดา พบว่าให้ผลผลิตสูงมากเมื่อเทียบต่อตารางพื้นที่ งานวิจัยเกี่ยวกับ Hydroponics
http://www.vwander.com/save/?save=Hydroponics

โรงหนังตะลุง



โรงหนังตะลุง ต้องยกเสา ๔ เสา (ใช้ไม้ค้ำเพิ่มจากเสาได้) ขนาดโรงประมาณ ๒.๓ X ๓ เมตร พื้นยกสูงเลยศีรษะผู้ใหญ่เล็กน้อย และให้ลาดต่ำไปข้างหน้านิดหน่อย หลังคาเป็นแบบเพิงหมาแหงน กั้นด้านข้างและด้านหลังอย่างหยาบๆ ด้านหลังทำช่องประตูพาดบันไดขึ้นโรง ด้านหน้าใช้ผ้าขาวบางขึงเป็นจอ จอกว้างและยาวประมาณ ๕ x ๑๐ ฟุต ในโรงมี ตะเกียงน้ำมันไขสัตว์หรือตะเกียงน้ำมันมะพร้าว หรือตะเกียงเจ้าพายุหรือดวงไฟแขวนไว้ใกล้จอสูงจากพื้นราว ๑ ฟุตเศษและห่างจากจอราว ๑ ศอก นอกจากนี้ยังมีต้นกล้วยวางไว้ข้างฝาทั้งสองข้างของโรง เพื่อไว้ปักพักรูปหนัง ประเภทรูปเบ็ดเตล็ด ส่วนบนเพดานโรงจะมีเชือกขึงไว้สำหรับแขวนรูปหนังประเภทรูปที่สำคัญซึ่งมีรูปพระ รูปนาง เป็นต้น สำหรับจอหนัง ทำด้วยผ้าขาว รูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ ๑.๘ x ๒.๓ เมตรทั้ง ๔ ด้านมอบริมด้วยผ้าสี เช่น แดง น้ำเงิน ขนาดกว้าง ๔-๕ นิ้ว มีห่วงผ้าเรียกว่า หูรามเย็บไว้เป็นระยะโดยรอบ หูรามแต่ละอันจะผูกเชือกยาวประมาณ ๒ ฟุต ๕ นิ้ว เรียกว่า หนวดราม สำหรับผูกขึงไปประมาณ ๑ ฟุตจะตีตะเข็บนัยว่าเป็นเส้นแบ่งแดนกับแดนมนุษย์ เวลาเชิดรูปมีเฉพาะรูปฤาษี เทวดา และรูปที่มีฤทธานุภาพเท่านั้นที่เชิดเลยเส้นนี้ได้

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อ้ายเท่ง


เท่ง หรือ อ้ายเท่ง เป็นชื่อรูปตลกของหนังตะลุงซึ่งทุกคณะมักมีประจำโรง และทุกคณะ สวมลักษณะนิสัย ลีลาการพูด สำเนียงพูดเป็นลักษณะเดียวกัน มักออกเป็นตัวเสนาคู่กับหนูนุ้ย ประวัติความเป็นมา เชื่อกันว่ารูปเท่งมีผู้ตัดเลียนรูปร่างลักษณะและถอดนิสัยมาจากคนจริง ซึ่งเป็นชาวบ้านคูขุด อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา คนผู้นั้นมีอาชีพทำน้ำตาลโตนด ทำหวาก(ทำกระแช่) และรุนกุ้งฝอยให้เมียขาย รูปร่างลักษณะ ตัดด้วยหนังหนาสีดำล้วน ผอมบาง สูง โย่ง ท่อนบนยาวกว่าท่อนล่าง ผิวดำ หัวเถิก ผมหยิกเป็นปอย อยู่เฉพาะส่วนท้ายทอย จมูกทู่โต ตาขาวโต ปากกว้าง หน้าตาพิกลคล้ายนกกะฮังหรือคล้ายหัวตุ๊กแก มือเคลื่อนไหวได้ทั้ง ๒ ข้าง นิ้วมือข้างซ้ายกำหลวมๆ นิ้วชี้กับหัวแม่มืองอหงิกเป็นวงเข้าหากัน ส่วนมือข้างขวาเหลือเพียงนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวทู่โต เพราะเป็นคุดทะราดมาแต่เด็กๆ และมักใช้มือทั้ง ๒ ข้างทำท่าด่าแม่ผู้อื่นแทนถ้อยคำอย่างที่ ภาษาใต้เรียกว่า "ฉับโขลก" การแต่งกาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโสร่งลายตาหมากรุก ขาว-ดำ เคียนพุงด้วยผ้าขาวม้าเหน็บมีดพื้นเมืองซึ่งเรียกว่า "อ้ายครก" เท้าเปลือย แต่หนังตะลุงสมัยใหม่ตัดรูปเท่งสวมชุด อ.ส. ก็มีชุดทหารพรานก็มี เพื่อใช้เชิดเฉพาะตอนตามบทบาทในเนื้อเรื่องที่สมมติให้เป็น นิสัย เท่งเป็นตัวตลกคะนอง ขบขันง่าย มุทะลุไม่กลัวคน ชอบล้อเลียนเพื่อน มีความฉลาดแหลมในบางโอกาส แต่บางครั้งก็พูดพล่อยๆ มักท่าดีทีเหลว ชอบขู่สำทับเพื่อน แต่ใจจริงไม่สู้คน ใครด่าว่าก็ไม่โกรธ แต่มักยอกย้อน ชอบด่าว่าเขาง่ายๆ และอยู่ข้างจะบ้ายอ ลีลาการพูด พูดช้าๆ แต่ไม่ชัดคำ เกือบติดอ่าง มีอารมณ์ขันอยู่ในที มักมีเสียงหัวเราะแทรก บางครั้งพูดโผงผางแบบขวานผ่าซากไม่เกรงใจใครจะด่าว่าใครไม่ยั้งคิด เมื่อพลั้งผิดมักด่าตัวเอง ชอบทำท่าประกอบคำพูดและจ้องหน้าคู่สนทนาที่มา http://www.blogger.com

โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนรา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบ ทอดกันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลายใน ภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาสมีบางส่วน แสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม
โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้น เป็นคำที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอา เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำเรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปี พุทธศักราชที่ ๑๘๒๐ ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
เชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง ปัจจุบันคือ ตำบล บางแก้ว จังหวัด พัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และจังหวะ ตะลุง ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้ โนรา เกิดขึ้นในราชสำนักของพัทลุงซึ่งมีตำนานเล่า กันมาว่า เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่า พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมาลา ซึ่ง มีความสามารถในการร่ายรำมาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่า เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดัง นั้นก็โกรธมาก สั่งให้นำนางศรีมาลาไป ลอยแพในทะเล ( คือ ทะเลสาปสงขลา) และ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมาลาก็ ได้ให้กำเนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่า เทพสิงหล ซึ่งมีนัยความว่า ลูกของเทวดา นางศรีมาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่งเทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้า ฟาดก็ยังไม่รู้ว่าหลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำในราชสำนัก ฝ่ายนางศรีมาลานั้น ก็น้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่า โนราคณะ นี้จะไปรำได้ แต่ต้องปูผ้าขาวตั้ง แต่ริมฝั่งที่ลงจากเรือจนไปถึงตำหนัก พระยาสายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำในราชสำนัก เทพสิงหลรำ ได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาดก็ ตกตะลึงในความสวยงาม จึงถอดเครื่องทรงที่ ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้วบอกว่า "เครื่อง แต่งกายกษัตริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่องแต่งกาย ของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป" เทพสิงหลจึง บอกว่าแท้จริงแล้วเป็นหลานของพระยาสาย ฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ ในราชสำนักและให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ทุก ประการ

อ้ายหนูนุ้ย



อ้ายหนูนุ้ย หรือนายหนูนุ้ย เป็นคนวิกลจริต รูปร่างหน้าตาและกริยาท่าทางดูประหลาด เที่ยวเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวตลาดคลองขวาง จังหวัดสงขลา "หนังนุ้ยหมาตาย" บรมครูหนังตะลุงไปพบเข้าจึงเอามาเป็นแบบตัดเป็นตัวตลก มีกรรไกรหนีบหมากเป็นอาวุธประจำตัว

ที่มา : http://www.tungsong.com

วันคริสต์มาส


เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงามองค์ประกอบในงานคริสต์มาส ซานตาครอส

ที่มา : http://www.zabzaa.com/event/christmas.htm

โครงสร้างและองค์ประกอบในการแสดงหนังตะลุง


โครงสร้างและองค์ประกอบในการแสดงหนังตะลุง
โครงสร้างและองค์ประกอบในการแสดงหนังตะลุงประกอบด้วยนายหนังมีหน้าที่เป็น
หัวหน้าคณะหัวหน้าหนังตะลุงมีหน้าที่รับงานแสดงรวมทั้งผู้เชิดตัวหนังและพากย์ไปพร้อมกันรวมทั้งเป็นผู้กำหนดวรรณกรรมเรื่องที่จะแสดงในงานต่างๆ วรรณกรรมเรื่องที่แสดงตามตำนานหนังตะลุงแรกเริ่มแรกมีการแสดงเรื่องรามเกียรติ์ต่อมาเล่นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เป็นนิทาน ประโลมโลกซึ่งเอามาจากวรรณคดีต่างๆแปลงมาจากชาดกบ้าง และผูกเรื่องขึ้นเองบ้างตามความสามารถของนายหนัง นอกจากนายหนังแล้วยังมีลูกคู่เป็นผู้บรรเลงดนตรีประกอบการแสดงหนังตะลุง ส่วนเครื่องดนตรีพื้นบ้านประกอบกอบด้วย ทับ กลองตุ๊ก โหม่ง ฉิ่ง และปี่นอก ในปัจจุบันมีเครื่องดนตรีสากลเพิ่มขึ้นมาประกอบการแสดงหนังตะลุง รูปหนังที่ใช้แสดงจะมีสมมุติเป็นตัวละคร รูปสำคัญที่หนังต้องมีได้แก่ ฤาษี พระอิศวร ปรายหน้าบท เจ้าเมือง พระ นางยักษ์ ตัวตลก นอกนั้นจะเป็นรูปเบ็ดเตล็ด โรงหนัง ตะลุงปลูกเป็นเรือนชั่วคราว ยกเสา 4 เสา ยกพื้นสูงเลยศีรษะเล็กน้อย ยกเสา 4 เสา ประมาณ2.30 x 3 เมตร ด้านหน้าขึงจอผ้าขาว ด้านข้างกั้นด้วยทางมะพร้าวหรือจาก ภายในโรงมีหยวก วางชิดจอสำหรับปักรูป 1 ต้น มีเครื่องให้แสงสว่าง สมัยก่อนใช้ไต้แล้วมีพัฒนาเป็นตะเกียงไขวัว ตะเกียงเจ้าพายุและไฟฟ้าตามลำดับ โดยแขวนไว้ตรงช่วงกลางจอ ห่างจากจอราว 1 ศอก โอกาสในการแสดง เดิมหนังตะลุงนิยมเล่นในงานสมโภชหรืองานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ส่วนงานมงคล เช่นงานแต่งงานจะไม่นิยมแต่ใน ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไป มีงานการใด ๆ ก็มักรับหนังตะลุงมาแสดงเป็นมหรสพพื้นบ้านที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของชาวภาคใต้

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตรัง


จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดในภาคใต้ของประเทศไทย ตรังหรือเมืองทับเที่ยง เป็นจังหวัดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้ ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าค้าขายกับต่างประเทศ เป็นเป็นศูนย์กลางการคมนาคมไปสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรังเป็นจังหวัดแรกที่มีต้นยางพารามาปลูก โดยพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) นำพันธุ์ยางพารามาจากมาเลเซีย
ปรากฏเป็นบันทึกของสตรีชาวอเมริกัน เอ็ดนา บรูเนอร์ บัลก์ลีย์ (Edna Bruner Bulkley) ที่เดินทางมาถึงตรังและได้บันทึกว่า ตรงกลางระหว่างทะเลทั้งสองนี้เอง คือสถานที่ที่ฉันเรียนได้เต็มปากว่าเป็นบ้านของฉัน ซึ่งฉันได้ได้เที่ยวไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ในรัศมีสีสิบไมล์โดยรอบจนทะลุปรุโปร่งมาแล้วตลอดช่วงเวลาเกือนยี่สิบปี ในความคิดของฉัน ตรังเป็นจังหวัดที่สวยงามที่สุดในสยาม ธรรมชาติที่นีมีทั้งพื้นดินสีแดง เนินเขา ลำธาร ทะเลสาบ แม่น้ำ และน้ำตก ซึ่งในช่วงเวลาต่อมา ทางการได้ดำเนินแผนการพัฒนาอันชาญฉลาดโดยการตัดถนนอย่างทั่วถึง ทำให้ผู้คนสามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น (Siam Was Our Home: A Narrative Memoir of Edna Bruner Bulkley's Years in Thailand in the Early 1900's)

www.toursabai-thailand.com/UserF...9808.jpg

วาเลนไทน์


ประวัติวาเลนไทน์
วันวาเลนไทน์ มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น
นักบุญวาเลนไทน์ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius พระองค์จึงทรงสั่งทหาร ไปจับเขาไปประหารชีวิต
ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้น เอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่าน และลงท้ายว่า "Love from your Valentine
ที่มา : http://valentine.kapook.com
ในปี 496 A.D.โป๊ปGelasiusได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญ วาเลนไทน์ เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะ ช็อคโกแลต) ดอกไม้(ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนรัก

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติหนังตะลุง


หนังตะลุง คือ ศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ผูกร้อยเป็นนิยาย ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าการ "ว่าบท" มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบท การสนทนา และการแสดงเงานี้ นายหนังตะลุงเป็นคนแสดงเองทั้งหมด
หนังตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมแพร่หลายอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้กันทั่วถึงทุกหมู่บ้านอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงแสดงได้ทั้งในงานบุญและงานศพ ดังนั้นงานวัด งานศพ หรืองานเฉลิมฉลองที่สำคัญจึงมักมีหนังตะลุงมาแสดงให้ชมด้วยเสมอ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังตะลุงกลับกลายเป็นความบันเทิงที่ต้องจัดหามาในราคาที่ "แพงและยุ่งยากกว่า" เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ เพราะการจ้างหนังตะลุงมาแสดง เจ้าภาพต้องจัดทำโรงหนังเตรียมไว้ให้ และเพราะหนังตะลุงต้องใช้แรงงานคน (และฝีมือ) มากกว่าการฉายภาพยนตร์ ค่าจ้างต่อคืนจึงแพงกว่า ยุคที่การฉายภาพยนตร์เฟื่องฟู หนังตะลุงและการแสดงท้องถิ่นอื่นๆ เช่น มโนราห์ รองแง็ง ฯลฯ ก็ซบเซาลง ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกบ้านมีโทรทัศน์ดู ละครโทรทัศน์จึงเป็นความบันเทิงราคาถูกและสะดวกสบาย ที่มาแย่งความสนใจไปจากศิลปะพื้นบ้านเสียเกือบหมด
ปัจจุบัน โครงการศิลปินแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่สืบไป

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กล้วยไม้


กล้วย ไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จนกระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็นอาณาบริเวณอเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกา ใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของกล้วย ไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา

ที่มา : http://www.tjorchid.com

การเลี้ยงนกกรุงหัวจุก


เรื่องราวของนกกรงหัวจุกในฉบับที่แล้วซึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องราวทั่วๆ ไปของนกกรงหัวจุก ต่อไปก็ขอเข้าเรื่องของการดูแลเลี้ยงดูนกกรงหัวจุกว่ามีความยากง่ายเพียงไรครับนกกรงหัวจุกเป็นนกที่มีอายุยืน นกที่เลี้ยงอาจมีอายุยืนถึง 18 ปี การเลี้ยงนกกรงหัวจุกต้องมีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบการเลี้ยง ซึ่งได้แก่ กรงของนกกรงหัวจุก มีทั้งกรงรวมซึ่งเป็นกรงขนาดใหญ่สำหรับพักนกที่จับมาขาย หรือเป็นกรงสำหรับให้นกบินออกกำลังกาย กรงเลี้ยงแบบธรรมดา กรงให้นกผลัดขน และกรงที่นำไปแข่ง ถ้วยใส่น้ำ ถ้วยใส่อาหาร ที่รองถ้วยน้ำถ้วยอาหาร ห่วงกลม สำหรับให้นกกระโดดเกาะ ตะขอแขวนผักผลไม้ ใช้ติดในกรงนก 2 อันต่อ 1 กรง คอนเกาะ ผ้าคลุมกรงนก เพื่อไม่ให้นกตกใจต่อสิ่งรอบข้างที่แปลกใหม่ ป้องกันไม่ให้ลมโกรกถูกตัวนก หรือป้องกันไม่ให้ศัตรูมาทำร้าย ถาดรองขี้นก หัวกรง ตะขอแขวนกรง ตุ้มขากรง ขันสำหรับให้นกอาบน้ำในกรง

ทีมา http://www.nokkronghuajuck.com/